RECORD 5
MONDAY 12 February 2561
เนื้อหาการเรียนการสอน (KNOWLEDGE)
อาจารย์ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มออกมานำเสนองานที่อาจารย์มอบหมายให้ไปค้นคว้ามานำเสนอหน้าชั้นเรียนให้เพื่อนๆได้ฟังกัน
นำเสนองานกลุ่ม
กลุ่มที่ 7 เทคนิคการสอนแบบ Story line
เทคนิคการสอนแบบ storyline
storyline
เป็นการนำสาระการเรียนรู้จากหลากหลายเรื่องมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
เพื่อจัดการเรื่องรู้ภายใต้
หัวเรื่องเดียวกัน โดยผูกเรื่องเป็นตอนๆ
เรื่องแต่ละตอนจะต่อเนื่องกันและมีลำดับเหตุการณ์และเส้น
ทางการเดินเรื่อง
และใช้คำถามหลักเป็นการนำไปสู่การทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย โดยการลงมือ
ปฎิบัติ
เน้นการคิด วิเคราะห์ กระบวนการกลุ่ม
ลักษณะของ storyline
องค์ประกอบและลักษณะกิจกรรม
แนวทางการจัดกิจกรรม
ศึกษาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ วิธีการจัด
กิจกรรมแบบ storyline
ศึกษาตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
ที่มีลักษณะหัวเรื่องโดยใช้เทคนิค storyline เลือกแผนที่มีความเหมาะสมกับชั้นเรียน
เพื่อทดลองสอน
เลือกแผนการจัดการเยนรู้ที่มีความยาวสลับซับซ้อนมากขึ้นมาทดลองอีก
2-3 แผนเพื่อให้ชำนาญ
ทดลองเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามหัวข้อเรื่องที่สนใจผูกโยงเนื้อหาสาระการเรียนรู้ที่หลากหลาย
เข้าด้วยกัน
สร้างคำถามหลักเพื่อนำไปสู่การจัดการเรียนรู้แบบstoryline
- กำหนดระยะเวลาสอนในแต่ละหัวข้อ
อาจกำหนดต่อเนื่องกัน 2-3ชั่วโมงในทุกวันศุกร์ช่วงบ่าย
หรือสอนวันเว้นวัน หรือสัปดาห์สุดท้าย ก่อนปิดภาคเรียน
นำแผนไปทดลองสอน
- บันทึกหลังสอน ปรับแผน
กิจกรรม ระยะเวลา
- เนื้อหาสาระการเรียนรู้
เตรีมสื่อแหล่งการเรียนรู้ แหล่งวิทยาการ วิทยากร
สถานที่
- ประเมินผลงานของนักเรียน
ข้อดี
ข้อจำกัด
แผนการจัดการเรียนรู้แบบ storyline
อ้างอิง
สุคนร์ สินธพานนท์และคณะ.(2554) วิธีสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษา
เพื่อพัฒนาคุณภาพของเยาวชน. ห้างหุ้นส่วนจำกัด 9119
เทคนิคพริ้นติ้ง.
ฆนัท ธาตุทอง.(2551) การออกแบบการสอนและบูรณาการ.เพชรเกษม
การพิมพ์.
กลุ่มที่ 8 การสอนแบบวอลดอร์ฟ
การสอนแบบวอลดอร์ฟ
ผู้ริเริ่มแนวการสอนที่รู้จักชื่อแพร่หลายแบบวอลดอร์ฟ
(Waldort)คือ รูดอร์ฟ สไตเนอร์(Rudolf Steiner)
วิธีการสอนของสไตเนอร์หรือวอลดอร์ฟ นั้นจัดเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นกิจกรรมการเล่น
คือ ดนตรี จังหวะ บทเพลง นิทาน
เพราะกิจกรรมเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความคิดจินตนาการของเด็ก
และช่วยพัฒนาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย
แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ
โรงเรียนแนวการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟ
เป็นแนวการศึกษาที่บูรณาการวิชาการไปกับกิจกรรรมต่างๆ
โดยมีครูคอยดูแลและอำนวยความสะดวก
เน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนการสอนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติทั้งในกลางแจ้งและในห้องเรียน
โดยเชื่อว่าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี
เพื่อพัฒนาให้เด็กเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพที่สมดุลกลมกลืนไปกับโลกและสิ่งแวดล้อมและได้ใช้พลังงานทุกด้านอย่างพอเหมาะ
จุดเด่นของโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
• เป้าหมาย คือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระ
•
เน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล โดยมีมุมมองว่า
เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก
โดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ความรู้สึก และผ่านการคิด
เน้นการให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ
และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ
• จะสอนตามพัฒนาการของเด็ก
โดยเฉพาะวัย 0-7 ปีเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางกายมาก
จึงเน้นไปที่การเล่นเพื่อพัฒนาอวัยวะส่วน
•
สิ่งที่การเรียนแนววอลดอร์ฟเน้นมากคือ
"จินตนาการของเด็กคือการเรียนรู้" วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้จะต้องเป็นธรรมชาติ
เช่น ถ้าวาดรูป สีที่ใช้ก็จะมีแค่สีปฐมภูมิ คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง เท่านั้น
แนวคิดนี้จะทำให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน มองเห็นว่าโลก สิ่งแวดล้อม
และสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันต้องช่วยกันรักษา ซึ่งส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์เป็น
กิจกรรมที่มุ่งเน้นในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมักจะเน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ
ไม่มีห้องเรียน ไม่มีกระดานดำ แต่จะมีมุมต่างๆ ให้เด็กได้เรียนรู้
ได้เป็นอิสระที่จะคิดและสร้างสรรค์ หรือหากเด็กๆ ต้องการเล่นตุ๊กตา เล่นรถ
ในห้องก็จะมีข้าวของที่ทำจากธรรมชาติให้ประดิษฐ์ดัดแปลงเล่นกัน เช่น ผ้าหลากสี
ท่อนไม้ เปลือกไม้ ลูกสน เป็นต้น ทุกอย่างจะถูกกำหนดให้เป็นได้สารพัดตามแต่ใจเด็กๆ
สภาพแวดล้อมในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
รูดอร์ฟ สไตเนอร์นักปรัชญาชาวเยอรมัน
ผู้ริเริ่ม แนวการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟเชื่อว่า
สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี โดยเฉพาะเด็กๆ
ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนจะซึมซับสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้ได้ง่าย ดังนั้นการจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ
มีการเน้นความงดงามตามธรรมชาติ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล
แสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จัดจ้า ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง
ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีที่ไพเราะ จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน
และสดชื่นให้เกิดขึ้นในจิตใจเด็กเด็กจะมีพลังตื่นตัวและมีสมาธิในการเรียนรู้ได้ไม่ยาก
สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนโรงเรียนวอลดอร์ฟ
การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อม
ให้เด็กได้พัฒนาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไป
เด็กจะพัฒนาถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้ โดยการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเป็นไปอย่างสมดุล
โดยการเรียนรู้ทางกาย(การลงมือทำ) หัวใจ(ความรู้สึก ความประทับใจ)
และสมอง(ความคิด)
อ้างอิง
ศาตราจารย์
ดร.อารี สัณหฉวี หนังสือ นวัตกรรมปฐมวัย
ปีที่พิมพ์ 2537 การสอนแบบวอลดอร์ฟจะพัฒนาเด็กได้อย่างไร
แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ
เรียบเรียงข้อมูลจาก : พ็อกเก็ตบุ๊กส์ เลือกอนุบาล เพื่อสร้างอนาคตลูก จาก
สำนักพิมพ์รักลูกบุ๊กส์
กลุ่มที่ 9 การสอนภาษาแบบธรรมชาติ
การสอนแบบภาษาธรรมชาติ Whole Language
ที่มาของการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
• การสอนภาษาแบบธรรมชาติ เกิดจากหลักการ และแนวคิด ของนักศึกษา
นักวิจัยทางภาษาที่มีชื่อเสียง คือ Jean piaget ผู้เชื่อว่าการที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆรอบตัวจะเป็นการคิดสร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ
ไม่ใช่การรับเข้าไปเฉยๆ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลทางสังคม
และเชื่อว่าการสอนภาษาเป็นความสำคัญที่เด็กจะต้องใช้เพื่อการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเด็กและภาษามีความหมายต่อชีวิต
การเรียนภาษาจึงต้องมาจากสิ่งที่เป็นจริงและเกี่ยวข้องกับเด็ก โดยเรียนภาษาแบบองค์รวมคือ
เรียน ฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมกัน
ที่มาของการสอนภาษาแบบธรรมชาติ จอห์น เพียเจต์Jean piaget
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ
• การสอนภาษาแบบธรรมชาติคือ
การที่เด็กได้เรียนรู้ การใช้ภาษาทั้งด้านการ ฟัง พูด อ่าน เขียน
เป็นไปตามธรรมชาติอย่างมีความหมายสอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน เขียนก่อน
แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง เช่นการอ่านนิทาน เล่าเรื่องราว
ฟังเรื่องเล่าจากเพื่อน ฟังนิทานจากครู เป็นต้น
ลักษณะการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
• เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้
เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ
ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้และร่วมมือจัดการเรียนการสอนระหว่างเด็กกับครู
ตั้งแต่วางแผนการเรียนว่า จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไร
และใครรับผิดชอบส่วนไหนบ้าง คำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็ก เพราะเด็กจะต้องอยู่ในสังคม
ห้องเรียนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมให้กับเด็ก
สถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนแบบภาษาในระดับปฐมวัย
• โรงเรียนเกษมพิทยาได้ค้นพบว่า
ปัจจุบันเด็กประถมวัยมีปัญหาการเรียนภาษา มีทัศนคติที่ไม่ดี เชื่อว่าเรียนภาษายาก
เพราะการสอนเด็กด้วยระบบเก่าเน้นทักษะและเน้นไวยากรณ์ โดยการแจกลูกผสมคำ
แต่เด็กกลับอ่านหนังสือไม่ออกในระดับประถมศึกษา ถึงแม้จะฝึกหนัก
•
การแก้ปัญหาดังกล่าวคือ
การเลือกใช้วิธีการสอนที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย
เพราะการพัฒนาการทางสมองจะมีการทำงานแบบองค์รวม
• แหล่งที่มา
• กุลยา
ตันติผลาชีวะ (2545). รูปแบบการเรียนการสอนปฐมวัยศึกษา. กรุงเทพมหานคร:
บริษัทเอดิสัน เพรสโปรดักส์ จำกัด.
• บุบผา เรืองรอง
(2550). ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย . นครศรีธรรมราช: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช.
• วรนาท
รักสกุลไทย (2554). นวัตกรรมการสอนภาษาแบบธรรมชาติ. กรุงเทพมหานคร: Thai Teacher TV . (2554 ) . นวัตกรรมการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
. กรุงเทพมหานคร: โรงเรียนเกษมพิทยา.
ความรู้ที่ได้ (Knowledge)
- การคิดการฝึกวิเคราะห์
- การคิดแบบมีความคิดสร้างสรรค์
- การสื่อสาร
- การฟังอย่างมีเหตุผล
ทักษะ (Saill)
- ทักษะการฟังและการคิด
- ทักษะการนำเสนองาน
- ทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยี
-ทักษะการเชื่อมโยง
การนำเอาไปประยุกต์ใช้ (Adoption)
สามารถนำเนื้อหาที่เรียนรู้นำไปจัดกิจกรรมให้เด็กได้อย่างเหมาะสมตามพัฒนาการตามวัย และสามารถนำความรู้แต่ละหัวข้อที่เพื่อนนำเสนอ นำไปต่อยอดเพื่อเอาไปสอนเด็กได้จริงในอนาคต
เทคนิคการสอน (Technique Teathing)
- มีการอธิบายเนื้อหารายวิชานี้ให้นักศึกษาฟังได้อย่างเหมาะสมและเข้าใจง่าย
- มีการอธิบายเพิ่มเติมหลังจากนักศึกษานำเสนองานเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นและชัดเจนขึ้น
- มีการทบทวนเนื้อหาการเรียนในรายวิชาต่างๆที่เคยเรียนมาเพื่อเอามาต่อยอดในรายวิชานี้
ประเมินตนเอง
แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มาตรงต่อเวลา ตั้งใจทำกิจกรรมต่างๆอย่างเต็มที่ ตั้งใจฟังขณะที่อาจารย์สอน ไม่พูดคุยกับเพื่อนเสียงดัง
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆทุกคนตั้งใจเรียน และให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่างๆอย่างเต็มที่ ไม่พูดคุยเสียงดังขณะเรียนหนังสือ
ประเมินอาจารย์
อาจารย์มาตรงต่อเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มีกิจกรรมแปลกใหม่มาสอนนักศึกษาเสมอ และเปิดโอกาสให้นักศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น